tag:blogger.com,1999:blog-83065912392295830192024-03-05T06:35:10.980-08:00Math for early childhoodเพื่อการสืบค้นและแลกเปลี่ยนการเรียนรู้การจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยธารทิพย์ โสภากรhttp://www.blogger.com/profile/12310979134349476836noreply@blogger.comBlogger10125tag:blogger.com,1999:blog-8306591239229583019.post-74354324135802522162008-03-02T05:19:00.000-08:002008-03-02T08:06:40.788-08:00นิทานเรื่อง บันได 9 ขั้น<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEglmkdES3YfQu-rBBsieAQYZGUOt0st_g2dcSSmUqQOhJkdjQG_-FvWOeoTk3QrbpNVuHyULAujq0r3nW_zlpDHHcNv1aTcGlgqf05IAqns8uYpG6bHTDt7Fzscw-2ikyl31nlF1Zs2dZs/s1600-h/kapook_dookdik_17264_41971.gif"><img style="float:right; margin:0 0 10px 10px;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEglmkdES3YfQu-rBBsieAQYZGUOt0st_g2dcSSmUqQOhJkdjQG_-FvWOeoTk3QrbpNVuHyULAujq0r3nW_zlpDHHcNv1aTcGlgqf05IAqns8uYpG6bHTDt7Fzscw-2ikyl31nlF1Zs2dZs/s400/kapook_dookdik_17264_41971.gif" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5173176387686378610" /></a><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiXCXm6dXyrsKm_hWv2_K_p3enYjm7EJQjmJyjWEqnVbtTPuxyfDtbzOPWEmD9KRjxqH2eqREmrKQhK_2JELI_tKXDXEfWcjgDA50amO7_3dcU0SlRRXHFian_GTRWITdYbRsUvzThsQYs/s1600-h/kapook_dookdik_17260_37205.gif"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiXCXm6dXyrsKm_hWv2_K_p3enYjm7EJQjmJyjWEqnVbtTPuxyfDtbzOPWEmD9KRjxqH2eqREmrKQhK_2JELI_tKXDXEfWcjgDA50amO7_3dcU0SlRRXHFian_GTRWITdYbRsUvzThsQYs/s400/kapook_dookdik_17260_37205.gif" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5173175511513050210" /></a><br />กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีลูกเป็ด 2 ตัวเป็นพี่น้องกันอาศัยอยู่ในป่าใหญ่ มีอยู่วันนึงลูกเป็ดทั้ง 2 ต่างก็อยากมีบ้านเป็นของตัวเองจึงคิดวิธีสร้างบ้าน<br />ลูกเป็ดตัวที่ 1 เราจะสร้างบ้านไม้ซัก 1 หลัง ดีกว่าเพราะเราชอบ<br />ลูกเป็ดตัวที่ 2 เราก็ชอบเหมือนกันดีงั๊นเรามาสร้างไปพร้อมๆกันเลย<br />ลูกเป็ดตัวที่ 1 ไชโยบ้านของฉันใกล้เสร็จแล้ว<br />ลูกเป็ดตัวที่ 2 ทำไมนายไม่ทำบ้านไม้ 2 ชั้น มีบันไดด้วยเหมือนกับเราล่ะเนี่ยเราทำ 9 ขั้น ทำสิจะได้หลังที่เหมือนกันไงเผื่อไว้เดือน<br /> 6 เพระฝนตกบ่อย<br />ลูกเป็ดตัวที่ 1 จะทำไปทำไมไม่เห็นจำเป็นเลยเราเป็นเป็ดยังไงก็ไม่จบน้ำหรอกน่า<br /> หลังจากนั้นพอถึงเดือน 6 เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันฝนได้จกกระหน่ำอย่างแรงทำให้บ้านของลูกเป็ดตัวที่ 1 ถูกน้ำท่วมได้รับความเสียหาย<br />ลูกเป็ดตัวที่ 1 ฮืฮๆๆๆบ้านของฉันโดนน้ำท่วมหมดเลยรู้อย่างนี้ทำบ้าน 2 ชั้นมีบันได 9 ขั้นเหมือนกับพี่ดีกว่าจะได้ไม่ถูกน้ำท่วมแบบนี้<br />ลูกเป็ดตัวที่ 2 นั่นไงล่ะเกิดจากความประมาทของเจ้านั่นแหละที่ทะนงตัวว่าเป็นเป็ดยังไงก็ไม่จมน้ำแต่ลืมคิดถึงสิ่งที่ใกล้ตัวที่มีผลกระทบด้วยไม่เป็นไรหรอกพี่จะช่วยเจ้าสร้างบ้านใหม่ละกัน<br />ลูกเป็ดตัวที่ 1 ขอบใจจ่ะ<br /> หลังจากนั้นลูกเป็นทั้ง 2 ต่างก็อยู่กันอย่างมีความสุขธารทิพย์ โสภากรhttp://www.blogger.com/profile/12310979134349476836noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8306591239229583019.post-6504402076215827312008-03-02T05:04:00.000-08:002008-03-02T05:08:44.530-08:00เพลงคณิตศาสตร์1 2 3 4 5<br />ดูซิว่าใครจะเงียบก่อนใคร<br />6 7 8 นี้ไซร้<br />ใครไม่เงียบไม่เป็นไรไม่งั๊นครูจะตี<br />ไม่งั๊นจะถูกตีธารทิพย์ โสภากรhttp://www.blogger.com/profile/12310979134349476836noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8306591239229583019.post-81285502774903422092007-12-18T20:17:00.000-08:002007-12-18T20:31:56.574-08:00โครงงานทางวิทยาศาตร์โครงงานคณิตศาสตร์โครงงานคณิตศาสตร์หมายถึง กิจกรรมนอกหลักสูตรวิชาคณิตศาสตร์ ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์ตามความถนัดและความสนใจ ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ อาจทำเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มก็ได้ เป็นการฝึกปฏิบัติงานที่นักเรียนหาข้อสงสัย ตั้งสมมติฐาน ทดลองและสืบสวน แล้วรวบรวมหาข้อสรุป แล้วจัดทำรายงาน และแสดงผลงานเพื่อเผยแพร่ความรู้ จากการทำโครงงาน ได้รับคำแนะนำดูแลจากอาจารย์ที่ปรึกษา และ/หรือผู้ทรงคุณวุฒิ อาจจัดทำในเวลาเรียนหรือนอกเวลาเรียนก็ได้ จะเริ่มทำโครงงานคณิตศาสตร์อย่างไร โครงงานที่ดีที่สุดจะต้องเกิดจากความสนใจของนักเรียน นักเรียนควรจะเลือกเอง แต่ในระยะเริ่มต้นทำโครงงาน ถ้านักเรียนไม่สามารถเลือกหัวข้อมาทำโครงงานได้ แล้วครูจะทำอย่างไร… บทบาทซึ่งสำคัญที่สุดของครูคณิตศาสตร์ คือจะต้องกระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจที่จะทำให้นักเรียนต้องการทำโครงงานนั้น ครูจะต้องมีความคิดที่กว้างขวาง เพื่อจะหาแนวทาง ครูจะต้องเตรียมพร้อมที่จะช่วยนักเรียนเลือกโครงงานในระยะเริ่มต้น ครูจึงต้องมีความรู้และศึกษาว่าจะทำโครงงานอย่างไร โครงงานควรอยู่ในความสนใจและความสามารถของนักเรียน โดยอาศัยความรู้ กลักการแนวคิดหรือทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ไปเชื่อมโยงกับประเด็นที่จะศึกษาและค้นคว้าให้ชัดเจน ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ครูควรทำตนเป็นผู้แนะแนวทางเท่านั้น ในช่วงเริ่มทำโครงงานครั้งแรกครูอาจจะให้นักเรียนทุกกลุ่มทำโครงงานในรูปแบบเดียวกันโดยชี้แนะให้ทำเค้าโครงของโครงงานซึ่งประกอบด้วย ชื่อของโครงงาน จุดประสงค์ เนื้อหาคณิตศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง การดำเนินงาน การสรุปผลงาน การเขียนรายงาน การนำเสนอผลงาน ข้อเสนอแนะ เอกสารอ้างอิง ในระยะเริ่มแรกครูจะดูอย่างใกล้ชิดและดูการพัฒนาของนักเรียนให้คำปรึกษาเป็นช่วง ๆ ในระยะเริ่มต้นโครงงานที่ทำควรใช้ระยะเวลาสั้น ๆ เมื่อนักเรียนเข้าใจแล้ว ถ้าจะทำต่อไปก็ให้คิดเองโดยอิสระ ให้เลือกเรื่องที่จะทำเองและดำเนินการเองอย่างอิสระ ครูอยู่ห่าง ๆ คอยเสนอแนะเมื่อนักเรียนมีข้อสงสัย สิ่งที่ลืมเสียมิได้คือการทำโครงงาน ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ที่จะฝึกปฏิบัติในข้อสงสัยด้วยการตั้งสมมติฐาน ทดลอง รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล เมื่อทำเสร็จแล้วก็เผยแพร่ต่อไป หลังจากเขียนเค้าโครงของโครงงานเสร็จ แล้วจึงเขียนโครงงานฉบับสมบูรณ์ ซึ่งคล้ายกับฉบับเค้าโครงของโครงงาน แต่เพิ่ม ความเป็นมา ก่อนเขียนจุดประสงค์และในขั้นการดำเนินงาน ต้องเขียนอย่างละเอียด<br /><br />หลักการจัดกิจกรรมโครงงานคณิตศาสตร์ควรมีลักษณะดังนี้<br />1. เป็นเรื่องเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ที่นำไปใช้ประโยชน์ได้<br />2. เป็นการเสาะแสวงหาความรู้ด้วยตัวเอง เพื่อฝึกการคิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาเป็น ด้วยวิธี ทางวิทยาศาสตร์<br />3. ให้เสรีภาพแก่ผู้ทำโครงงานในเรื่องที่จะทำ โดยคำนึงถึงเงินทุนที่มีอยู่ด้วยโครงงานคณิตศาสตร์อาจทำได้หลายรูปแบบดังนี้<br /> 1. โครงงานคณิตศาสตร์ประเภททดลอง (Experimental Research Project) โครงงานนี้เป็นการศึกษาหาคำตอบของปัญหาโดยการออกแบบการทดลอง และดำเนินการทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐานที่ตั้งไว้ ขั้นตอนการทำงานประกอบไปด้วยการกำหนดปัญหา การตั้งสมมติฐาน การออกแบบการทดลอง ซึ่งจะต้องมีการควบคุมตัวแปรต่างๆ การแปลผลและการสรุปผลการทดลอง<br /> 2. โครงงานคณิตศาสตร์ประเภทสำรวจ (Survey Research Project) โครงงานประเภทนี้เป็นการศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาความรู้จากธรรมชาติ โดยการสำรวจและรวบรวมข้อมูลต่างๆ นำข้อมุลมาจัดและนำเสนอในรูปแบบต่างๆ ตามความเหมาะสม<br /> 3. โครงงานคณิตศาสตร์ประเภทพัฒนาหรือประดิษฐ์ (Development Research Project) โครงงานประเภทนี้เป็นการพัฒนาหรือประดิษฐ์เครื่องมือ หรืออุปกรณ์ต่างๆ โดยการประยุกต์ทฤษฎีหรือหลักการต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ จะเป็นการปรับปรุงอุปกรณ์เครื่องมือที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม หรือเป็นการประดิษฐ์สิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน รวมทั้งเป็นการเสนอหรือปรับแบบจำลองทางความคิดเพื่อ แก้ปัญหาปัญหาหนึ่ง<br /> 4. โครงงานคณิตศาสตร์ประเภทการสร้างทฤษฎีหรือการอธิบาย (Theortied Research Project) โครงงานประเภทนี้เป็นโครงงานที่ผู้ทำจะต้องเสนอความคิดใหม่ๆ ในการอธิบายเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างมีเหตุผล มีหลักการทางคณิตศาสตร์หรือทฤษฎีสนับสนุน หรือเป็นการอธิบายปรากฏการณ์ในแนวใหม่ เสนอในรูปคำอธิบาย สูตร สมการ โดยมีทฤษฎีข้อมูลอื่นสนับสนุน การทำโครงงานประเภทนี้ผู้ทำจะต้องมีพื้นความรู้ ทางคณิตศาสตร์เป็นอย่างดี จึงจะสามารถสร้างคำอธิบายหรือทฤษฎีได้ขั้นตอนการทำโครงงานคณิตศาสตร์มีดังนี้<br />1. การกำหนดจุดประสงค์ ก่อนทำโครงงานต้องกำหนดจุดประสงค์ก่อนว่า ต้องการอะไรจาก โครงงานนั้น<br />2. การเลือกหัวข้อหรือปัญหาที่จะศึกษา ควรให้นักเรียนเป็นผู้คิดและเลือกด้วยตนเอง โดย คำนึงถึง ระดับความรู้ อุปกรณ์ งบประมาณ ระยะเวลา อาจารย์ที่ปรึกษา ความปลอดภัย และ เอกสารอ้างอิง<br />3. การวางแผนในการทำโครงงาน คือการกำหนดขอบเขตของงาน ว่าจะให้กว้างหรือแคบเพียง ใด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเขียนเค้าโครงของงานก่อน เพื่อวางแผนการทำงาน<br /> 3.1 ชื่อโครงงาน<br /> 3.2 ชื่อผู้ทำโครงงาน<br /> 3.3 ชื่อที่ปรึกษาโครงงาน<br /> 3.4 ที่มาและความสำคัญของโครงงาน อธิบายว่าทำไมจึงเลือกโครงงานนี้<br /> 3.5 จุดมุ่งหมายของโครงงาน<br /> 3.6 สมมติฐานทางการศึกษาค้นคว้า (ถ้ามี) สมมติฐานเป็นคำตอบที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า<br /> 3.7 วิธีดำเนินงาน <br /> 3.7.1 วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใช้<br /> 3.7.2 แนวการศึกษาค้นคว้า<br /> 3.8 แผนการปฏิบัติงาน อธิบายเกี่ยวกับระยะเวลาทำงานตั้งแต่เริ่มจนจบโครงงานในแต่ละ ขั้นตอน<br /> 3.9 ผลที่คาดว่าจะได้รับ<br /> 3.10 เอกสารอ้างอิง<br /><br />การประเมินโครงงานคณิตศาสตร์มีวิธีประเมินในหัวข้อต่างๆ ดังนี้<br />1. ความสำคัญของการจัดทำโครงงาน<br />2. เนื้อหาของโครงงาน<br />3. การนำเสนอโครงงาน: รวบรวมจากเอกสารประกอบการอบรมโครงงานคณิตศาสตร์ โดย ศาสตราจารย์ยุพิน พิพิธกุล 28 – 29 มิถุนายน 2544 ณ โรงเรียนมัธยมสังคีตวิทยา กรุงเทพมหานครธารทิพย์ โสภากรhttp://www.blogger.com/profile/12310979134349476836noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8306591239229583019.post-31873708790135657992007-12-18T20:12:00.000-08:002007-12-18T20:15:31.043-08:00ตารางกิจวัตรประจำวันโรงเรียนอนุบาลสาธิตจันทรเกษม<br />7.30-08.15 น. รับเด็กเป็นรายบุคคล<br />8.15-08.30 น. เข้าแถวเคารพธงชาติ<br />8.30-08.50 น. สำรวจการมาโรงเรียน สนาทนา ตรวจสุขภาพ<br />8.50-09.10 น. กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ<br />9.10-10.00 น. พักเข้าห้องน้ำ ล้างมือ รับประทานอาหารว่างเช้า<br />10.00-10.30 น. กิจกรรมในวงกลม<br />10.30-11.00 น. กิจกรรมสร้างสรรค์ การเล่นตามมุม<br />11.00-12.00 น. ล้างมือ รับประทานอาหารกลางวัน<br />12.00-14.00 น. นอนพักผ่อน<br />14.00-14.20 น. เก็บที่นอน เข้าห้องน้ำ ล้างหน้า<br />14.20-14.40 น. รับประทานอาหารว่างบ่าย<br />14.40-15.00 น. เกมการศึกษาธารทิพย์ โสภากรhttp://www.blogger.com/profile/12310979134349476836noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8306591239229583019.post-48151648611431387862007-12-18T19:57:00.000-08:002007-12-18T20:11:45.353-08:00บทความกิจกรรมทางคณิตศาสตร์ในแต่ละวันทุกวันนี้หมดยุคท่องจำ หรือมุ่งการเรียนรู้เฉพาะเรื่องจำนวนและตัวเลขแล้วค่ะ เพราะว่าคณิตศาสตร์สามารถเรียนรู้ได้ง่ายๆ จากการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การเล่นกับลูก ไปเที่ยว หรือจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น นับต้นไม้ ใบไม้ ซึ่งมีทั้งการนับ ขนาด ปริมาณ น้ำหนัก การเปรียบเทียบ เรียนรู้เวลา และอื่นๆ มากมาย ที่สำคัญทุกสาขาอาชีพก็ต้องล้วนเกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ บัญชี เทคโนโลยี การเมือง การปกครอง การทำนา ล้วนมีคณิตศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น Mathematic Growing เมื่อรู้ของเขตแล้วก็ส่งเสริมเจ้าตัวเล็กได้ตั้งแต่แรกเกิดค่ะ<br /><br />ขวบปีแรก<br />ลูกสามารถสร้างพื้นฐานทางคณิตได้ก่อนที่จะบวกหรือลบเป็นเสียอีก เขาสามารถเชื่อมโยงความคิดกับตัวเลขด้วยการตีความง่ายๆ เรียนรู้ว่ามีจมูกหนึ่งจมูก มีตาสองตา รู้จังหวะเคลื่อนไหวจากการคลาน ซึ่งความสามารถทางคณิตศาสตร์ของลูกถูกพัฒนาด้วยการกระตุ้นหรือการมีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ คนรอบข้างและสิ่งแวดล้อมรอบตัว สิ่งเหล่านี้จึงเป็นบันไดสำคัญที่จะพัฒนาไปสู่การเรียนรู้คณิตศาสตร์ของเจ้าตัวเล็กในช่วงวัยต่อไปค่ะ<br /><br />ขวบปีที่สอง<br />เรียนรู้สิ่งที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น สามารถจัดประเภทสิ่งของได้ทำให้ลูกเข้าใจจำนวน ตัวเลข รู้จักนับนิ้วมือ 1 2 3 เรียนรู้ความแตกต่างของรูปทรง การจับคู่ รู้จักการใช้เหตุผล มีจินตนาการและเห็นการเชื่อมโยงของสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่ง เช่น เมื่อตีกลองเขารู้ว่าจะต้องมีเสียงดัง สิ่งเหล่านี้พ่อแม่ต้องกระตุ้นลูกบ่อยๆ จะทำให้เขาเข้าใจความหมายและรู้จักนำจินตนาการมาใช้ได้ดีขึ้น<br /><br />ขวบปีที่สาม<br />ลูกจะเห็นการจับคู่เป็นเรื่องง่ายแล้วค่ะ วัยนี้จึงควรจัดกิจกรรมให้เด็กๆ ได้ใช้ทั้งความคิด ความมีเหตุผล และเห็นการเชื่อมโยงกันให้มากขึ้น เช่น ลูกมีตุ๊กตากี่ตัวจ๊ะ ลูกต้องการรถกี่คัน หรืออาจจะให้ลูกช่วยจัดโต๊ะอาหาร ให้อาหารสัตว์ หรือไปซื้อของ ลูกจะได้เรียนรู้ การจัดหมวดหมู่ การเปรียบเทียบ การจัดวาง เป็นต้น พีธากอรัส นักคณิตศาสตร์ ชาวกรีก กล่าวไว้ว่า “หลายสิ่งหลายอย่างสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ด้วยคณิตศาสตร์” คาร์ล เฟรดริช เกาส์ นักคณิตศาสตร์ที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ กล่าวว่า “คณิตศาสตร์ไม่ใช่ความรู้ แต่เป็นการเรียนรู้ที่ให้ความเพลิดเพลินสูงสุด”<br /><br />สนุกกับการเรียนใน 7 วัน การเรียนรู้คณิตศาสตร์ของลูกเริ่มต้นจากการเล่นและการใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติค่ะ ซึ่งทุกกิจวัตรประจำวันถือเป็นโอกาสดีที่จะผสมผสานให้ลูกได้เรียนรู้และเข้าใจถึงทักษะง่ายๆ และใกล้ตัว<br /><br />วันจันทร์: เรียนรู้การนับและจำนวน ฝึกให้ลูกรู้จุกการนับจากชีวิตประจำวันขณะกิน เล่น เล่านิทาน เช่น การนับนิ้วมือ ช่วงแรกให้นับ 1-5 ก่อน แล้วเพิ่มเป็น 10 จากนั้นจึงค่อยเชื่อมโยงไปสู่ตัวเลขที่เป็นรูปธรรมเพื่อให้ลูกเห็นจำนวนที่แท้จริงมากขึ้น ซึ่งนอกจากลูกจะได้เรียนรู้การนับแล้ว ยังได้เรียนรู้สรรพนามที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ และผลไม้ต่างๆ ซึค่งจะทำให้เขาเรียนรู้เรื่องของเซ็ท หรือการจัดหมวดหมู่ได้ง่ายขึ้นค่ะ เช่น 1 = ขนมเค้ก 1 ชิ้น 2 = กล้วย 2 ลูก 3 = หมวก 3 ใบ<br /><br />วันอังคาร : เรียนรู้ขนาด สอนด้วยการเปรียบเทียบให้เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ช่วงแรกใช้แค่ขนาดเล็ก-ใหญ่ก่อน ซึ่งอาจจะเป็นเสื้อผ้า ของเล่นหรือผลไม้ เช่น “กางเกงของลูกตัวเล็กกว่ากางเกงของแม่อีกค่ะ” หรือ “หนูว่าแตงโมกับส้ม ผลไม้ชนิดไหนใหญ่กว่ากัน” จากนั้นก็เอาของทั้ง 2 อย่างมาเปรียบเทียบให้ลูกดู<br /><br />วันพุธ : เรียนรู้ปริมาณและน้ำหนัก ทำให้ลูกดูได้เรียนรู้มากกว่า น้อยกว่า หรือเท่ากัน เช่น การเทน้ำใส่แก้ว การตักทราบใส่ถัง เก็บของใส่กล่อง เช่น นำแก้วสามใบ และนม แก้วใบแรกใส่นมเต็มแก้ว ใบที่สองใส่ครึ่งแก้ว และใบที่สามไม่ต้องใส่ ลองถามลูกว่าแก้วใบไหนเต็มใบไหนว่าง และใบไหนมีนมครึ่งแก้ว เด็กวัยนี้จะสามารถเรียนรู้ความหมายของคำว่าเต็ม และว่างเปล่า แต่บอกไม่ได้ว่าครึ่งแก้วเป็นอย่างไร หรืออาจเปรียบเทียบน้ำหนัก ด้วยการให้ลูกลองยกของที่มีน้ำหนักแตกต่างกัน แล้วถามว่าของสิ่งไหนหนักกว่ากัน<br /><br />วันพฤหัสบดี : เรียนรู้รูปทรง การเล่นแท่งบล็อก ลูกได้เรียนรู้ทั้งรูปทรง การเปรียบเทียบสีสัน ขนาด ตำแหน่งที่วาง การจัดหมวดหมู่ และการนับจำนวนโดยคุณแม่อาจตั้งคำถามให้ลูกคิด เช่น “มีแท่งบล็อกสี่เหลี่ยมกี่แท่งนะ” หรือ “ไหนหนูลองแยกแท่งบล็อกที่มีสีเหมือนกันซิค่ะ<br />วันศุกร์ : เรียนรู้เวลา สอนให้ลูกเรียนรู้จากสิ่งที่ง่ายก่อน เช่น ก่อน-หลัง เร็ว-ช้า วันนี้-พรุ่งนี้ ด้วยการพูดคุยกับลูก เช่น “ถ้าหนูเดินเร็วเราก็จะไปถึงสนามเด็กเล่นเร็ว แต่ถ้าเดินช้าก็ไปถึงช้า” หรือ “พรุ่งนี้วันเสาร์แม่จะพาลูกไปเที่ยวสวนสนุก ตอน 8 โมงเช้า ลูกอยากไปมั้ยจ๊ะ”<br /><br />วันเสาร์ : เรียน วัน เดือน ปี โดยเริ่มต้นให้ลูกเรียนรู้จากกิจกรรมง่ายๆ หรืออาจยกตัวอย่างเป็นวันสำคัญหรือเทศกาลต่างๆ เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ ลอยกระทง มาให้ลูกฟังก็ได้ค่ะ ลูกจะได้จำจดได้ง่ายขึ้น เช่น “เดือนมกราคมนี้ก็จะถึงวันเกินของลูกๆ จะมีอายุครบ 2 ขวบแล้วนะ” หรือ “วันที่ 13 เมษายนนี้ จะเป็นวันสงกรานต์ แม่จะพาลูกไปเล่นสาดน้ำสนุกๆ กันนะ”<br /><br />วันอาทิตย์: เรียนรู้จังหวะ ดนตรี คุณสามารถฝึกประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์ให้ลูกได้ด้วยการเรียนรู้จังหวะจากเครื่องดนตรีง่ายๆ เช่น กลอง ไซโลโฟนหรือเครื่องดนตรีอื่นๆ ที่ตีแล้วเกิดเสียง เช่น การตีกลองโต้ตอบกับลูก ครั้งแรกคุณลองตีกลอง 2 ครั้ง แล้วให้เจ้าตัวเล็กตีกลองรับ 2 ครั้ง แล้วค่อยเพิ่มเป็น 3 ครั้ง 4 ครั้ง หรือ 5 ครั้ง จากนั้นเปลี่ยนให้ลูกตีนำและคุณตีตามบ้าง สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ลูกเข้าใจการโต้ตอบจากจังหวะกลองได้ จากกิจกรรมที่ยกตัวอย่าง ก็จะช่วยให้เจ้าตัวเล็กวัยซนสนใจเล่นคณิตศาสตร์แสนสนุกไปพร้อมๆ กับคุณแล้วล่ะค่ะ ลองนำกิจกรรมดังที่กล่าวทั้งหมดไปลองใช้กันดูสิคะเพื่อที่เจ้าตัวเล็กจะได้เรียนรู้มากยิ่งขึ้นค่ะธารทิพย์ โสภากรhttp://www.blogger.com/profile/12310979134349476836noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8306591239229583019.post-34412294467439538672007-12-18T19:56:00.000-08:002007-12-18T19:57:13.820-08:00ความรู้วันนี้27 พฤศจิกายน 2550<br />วันนี้อาจารย์สอนเกี่ยวกับคณิตศาสตร์สำหรับเด็กและให้เราจัดกลุ่ม เพื่อสาธิตการสอนมนุษย์ต่างดาว ที่ไม่สามารถพูดได้ โยแต่ละกลุ่มได้มาสาธิตให้เพื่อนดู เมื่อสาธิตเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ก็ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า การที่เราจะสอนคนที่ไม่รู้เกี่ยวกับเลข เราควรให้เขาพูดตามอย่างช้าๆ และมีสื่อในการนับให้เขาดู โยเมื่อนับเสร็จแล้ว ก็ให้สรุปว่ามีสื่ออยู่เท่าไหร่ธารทิพย์ โสภากรhttp://www.blogger.com/profile/12310979134349476836noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8306591239229583019.post-42404275440071199252007-12-18T19:53:00.000-08:002007-12-18T19:55:04.657-08:00สรุปงานวิจัย13 พฤศจิกายน 2550<br />ต้องการทราบเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็ก ว่าเด็กที่เรียนรู้โดยการใช้สื่อแบบใดมีพัฒนาการที่ดีกว่ากันระหว่าง สื่อจากภาพ สื่อจากของจำลอง และสื่อจากภาพร่วมกับของจำลอง โดยการให้เด็กจากโรงเรียนสังกัดอำเภอยะหริ่ง จ.ปัตตานี ชั้นอนุบาล 2 จาก 15 โรงเรียน จำนวน 120 คน ในพ.ศ.2543 โดยให้เด็กทำแบบทดสอบ 3 ฉบับ และแผนการสอน จำนวน 5 แผนการสอน ผลที่ได้ คือ เด็กที่เรียนรู้จากสื่อภาพร่วมกับของจำลอง มีพัฒนาการที่ดีกว่าเด็กที่เรียนรู้โดยการใช้สื่อจากภาพ และสื่อจากของจำลองธารทิพย์ โสภากรhttp://www.blogger.com/profile/12310979134349476836noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8306591239229583019.post-36941631156314061092007-12-18T19:46:00.000-08:002007-12-18T19:52:36.732-08:00บทความเกมส์คณิตศาสตร์9 พฤศจิกายน 2550<br />อัศจรรย์เลข 9 บวกลบแดนนรกสวรรค์ให้คุณหลงรักคณิตศาสตร์ ความงามของเลข 9 ไม่ใช่เพียงทะเบียนสวยๆ ท้ายรถคุณเท่านั้น แต่หากคุณได้ลองบวก-ลบ-คูณ-หาร ตามแบบฉบับ “ครูละม้าย” คุณครูประถมแล้ว คณิตศาสตร์ที่เคยเป็นยาขมจะกลายเป็นความหอมหวานที่ใครต้องชื่นชอบ ผลคูณ 9 x 8 เท่ากับ 72 ก็ดูไม่ได้แปลกพิศดารอะไร หากคุณท่องสูตรคูณได้แม่นยำก็ตอบได้ไม่ยาก แต่ นางละม้าย วงศ์ประสาร ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านดูนสิม จ.ศรีสะเกษ ตั้งข้อสังเกตในผลคูณได้น่าสนใจคือ 7 ซึ่งเป็นหลักสิบของผลลัพธ์นั้นมีค่าน้อยกว่า 8 อยู่ 1 และ 2 ซึ่งเป็นหลักหน่วยของผลลัพธ์เมื่อรวมกับ 7 ก็ได้ผลลัพธ์เท่ากับ 9 ข้อสังเกตนี้ยังพบได้ในผลคูณด้วย 9 อื่นๆ อาทิ 99 x 38 = 3762 (37 น้อยกว่า 38 อยู่ 1 และ 3 ก็ขาดอยู่ 6 จึงจะครบ 9 , 7 ขาดอยู่ 2 จึงจะครบ 9) 999 x 187 = 186813 (186 น้อยกว่า 187 อยู่ 1 และ 1 ขาดอยู่ 8 จึงจะครบ 9, 8 ขาดอยู่ 1 จะครบ 9, 3 ขาดอยู่ 6 จึงจะครบ 9) เป็นต้น จำนวนหลักของผลลัพธ์จะเท่ากับจำนวนหลักของตัวตั้งและตัวคูณบวกกัน ในส่วนของผลคูณตัวตั้งและตัวคูณไม่เท่ากัน ครูละม้ายก็ตั้งข้อสังเกตให้เห็นความอัศจรรย์ของเลข 9 เช่นกัน อาทิ 79 x 999 = 78921 ซึ่งจะเห็นว่า 2 หลักแรกก็ใช้หลักการเดียวกันคือ 78 น้อยกว่า 79 อยู่ 1 และ 7 ก็ขาดอยู่ 2 จึงจะครบ 9 ส่วน 8 ก็ขาดอยู่ 1 จึงจะครบ 9 แต่ผลลัพธ์ต้องมี 6 หลัก ดังนั้นจำนวนหลักที่หายไปใส่เลข 9 ลงไปให้ครบ ส่วนเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้นยังเป็นปริศนาที่คุณครูก็ยังไม่เข้าใจ “ทำไม? เป็นคำถามที่ดีเพราะนักคณิตศาสตร์ต้องไม่เชื่อคนที่ไม่มีเหตุผล แต่คุณครูก็คิดจนปวดหัวก็คิดไม่ออก แต่ในส่วนของการหารครูละม้ายยกตัวอย่างการซื้อของซึ่งทำให้ง่ายต่อการคิด เช่น มีเงินอยู่ 534 บาท จะซื้อเสื้อตัวละ 99 บาทได้กี่ตัวและจะเหลือเงินเท่าไร ก็ให้คิดง่ายๆ ว่า เราใช้ธนบัตร 100 บาท ซื้อเสื้อตัวละ 99 ก็จะได้เงินทอนครั้งละ 1 บาท มีธนบัตร 100 บาทอยู่ 5 ฉบับจะซื้อเสื้อได้ 5 ตัวและได้เงินทอน 5 บาท เมื่อเอาไปรวมกับเศษอีก 34 บาทที่มีก็จะเหลือเงิน 39 บาท เช่นเป็นสมการคณิตศาสตร์ได้ 534 ÷ 99 ซึ่งคำตอบของโจทย์นี้ก็คือ 5 เศษ 39 ทั้งนี้จะเห็นจำนวนเต็มของคำตอบคือ 5 ซึ่งเป็นเลขตัวแรกของตัวตั้ง ส่วนเศษคือผลรวมของเลขตัวแรกกับตัวเลขที่เหลือ กรณีอื่นๆ ก็ได้ข้อสังเกตเดียวกัน อาทิ 7892 ÷ 999 = 7 เศษ 899, 54 ÷ 9 = 5 เศษ 9 เป็นต้น<br />ขณะที่การบวกและลบซึ่งเป็นการคำนวณที่ไม่น่าจะซับซ้อน แต่ครูละม้ายก็ชี้ปัญหาว่านักเรียนต่างเบือนหน้าหนีโจทย์ที่มีตัวบวกและตัวลบเป็น 9 จึงสร้างหลักคิดง่ายๆ เพราะเห็นเด็กๆ ชอบบวกและลบเลข 10 ก็เด็กใช้เลข 10 มาคำนวณแล้วจึงหักลบหรือเพิ่มผลลัพท์ออก 1 เช่น 9 + 8 = 17 จะให้ได้คำตอบดังกล่าว ก็ใช้ 10 + 8 = 18 จากนั้นหักผลลัพธ์ออก 1 จึงได้คำตอบที่ถูกต้อง ส่วนการลบ 27 - 9 = 18 ก็เปลี่ยนไปคำนวณ 27 - 10 = 17 จากนั้นเพิ่มผลลัพธ์อีก 1 ก็จะได้คำตอบที่ถูกต้อง ซึ่งวิธีการคำนวณลักษณะนี้จะทำให้เด็กคำนวณได้ง่ายกว่าตั้งโจทย์แล้วบวกลบตัวทด มาถึงโจทย์ที่ให้บวกลบพร้อมๆ กันเช่น สมการ 7584 - 654 + 259 + 7 - 131 = ? นั้น ครูละม้ายกล่าวว่า เด็กๆ โดยเฉพาะนักเรียนชั้น ป.1-ป.2 มักไม่ชอบโจทย์ที่ดูยากๆ เหล่านี้ จึงคิดวิธีคำนวณสนุกๆ ให้นักเรียนแบ่งแดนที่เป็นบวกไว้บนแดนสวรรค์เพราะเป็นส่วนที่เราได้เพิ่ม แต่ตัวเลขที่ลบซึ่งเป็นส่วนที่เราต้องจ่ายให้เป็นแดนนรก จากโจทย์ดังกล่าวก็จะได้การตั้งคำนวณลักษณะนี้ การคำนวณเริ่มจากหลักหน่วย โดยดูว่ามีตัวเลขใดบ้างที่หักลบกันได้พอดี จะเห็นว่ามี 4 ที่ตัดกันได้พอดี เหลือ 1 ในแดนนรกที่ไปหักลบกับ 7 ในแดนสวรรค์ก็จะเหลือ 6 เมื่อรวมกับ 9 ในแดนสวรรค์จะได้ 15 เก็บ 5 ไว้ ส่วน 1 ก็ทดไว้หลักต่อไป ถัดไปเป็นหลักสิบเลข 5 ในแดนนรกและสวรรค์ตัดกันได้พอดี เหลือ 3 ในแดนนรกและ 8 ในแดนสวรรค์กับ 1 ตัวทด หักลบกันเหลือ 6 ถัดไปเป็นหลักร้อย 2 ในแดนสวรรค์ตัด 1 ในแดนนรกเหลือ 1 นำไปรวมกับ 5 ในแดนสวรรค์ได้ 6 หักลบกับที่ในแดนนรกเหลือ 0 ส่วนหลักพันคือ 7 ในแดนสวรรค์ไม่มีตัวหักลบจากแดนนรกจึงเหลือเท่าเดิม คำตอบของโจทย์ข้อนี้จึงเป็น 7065<br />“บวกลบเลขในแดนสวรรค์ก็แยกตัวบวกไปอยู่บนสวรรค์ ส่วนตัวลบไปอยู่ในแดนนรก จากนั้นดูแต่ละหลักว่ามีตัวไหนที่หักลบกันได้ ก็หักลบกันดูว่าเวรกรรมในนรกหมดหรือยังจากนั้นก็รวมผลบวกที่อยู่บนสวรรค์” ครูละม้ายสรุปหลักการบวกเลขหลายๆ หลักด้วยการผูกเรื่องเป็นการหักลบเวรกรรมในนรกกับสวรรค์ โดยให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการคำนวณ<br />แม้ว่าครูละม้ายจะไม่สามารถให้เหตุผลการข้อสังเกตที่มีกับเลข 9 ได้ แต่อย่างน้อยความน่าอัศจรรย์ที่เห็นนั้นก็น่าจะดึงให้เด็กๆ (อาจจะรวมทั้งผู้ใหญ่ด้วย) ได้สนุกไปกับการคำนวณคณิตศาสตร์ที่เป็นพื้นฐานสำคัญของการคำนวณในระดับที่สูงขึ้น และหากหวังให้มากขึ้นไปก็อยากเด็กๆ ที่สัมผัสความมหัศจรรย์ของเลขกลมๆ ตัวนี้ได้ตั้งคำถามและหาคำตอบต่อไปว่า ทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้น? อันเป็นข้อสงสัยที่จะสร้างกระบวนการคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ให้กับใครก็ตามที่ตั้งคำถามนี้ธารทิพย์ โสภากรhttp://www.blogger.com/profile/12310979134349476836noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8306591239229583019.post-42588667620150637472007-12-18T19:42:00.000-08:002007-12-18T19:46:42.702-08:00ทำภาพสไลด์8 พฤศจิกายน 2550 วันนี้คอมพิวเตอร์ไม่พออีกแล้วอดลงมือทำเลย อาจารย์ก็สอนทำภาพสไลด์ด้วยเลยแย่เลยวันนี้คงจะทำไม่ได้แน่ ๆ เพราะหมดเวลาก็คงลืมอีกแหละวู้ๆธารทิพย์ โสภากรhttp://www.blogger.com/profile/12310979134349476836noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8306591239229583019.post-69407235494518458422007-12-02T19:04:00.000-08:002007-12-02T19:04:53.128-08:00ความรู้สึกวันแรกที่เรียนไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลยเพราะคอมพิวเตอร์ไม่พอเรียนเลยทำไม่ทันเพื่อน ๆ เลย ทำไงดีเนี่ยเราธารทิพย์ โสภากรhttp://www.blogger.com/profile/12310979134349476836noreply@blogger.com0